อาการมะเร็งปากมดลูก: รู้ทัน สัญญาณเตือน และแนวทางการรักษา
อาการมะเร็งปากมดลูก โรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทยเป็นอันดับต้นๆ สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัส HPV ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับอาการมะเร็งปากมดลูก ตั้งแต่สัญญาณเตือน กระบวนการรักษา ค่าใช้จ่าย ไปจนถึงวิธีการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคร้ายนี้กัน
มะเร็งปากมดลูกคืออะไร?
มะเร็งปากมดลูก เกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติบริเวณปากมดลูก ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ชนิดความเสี่ยงสูง โดย HPV สามารถติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์
สัญญาณเตือนมะเร็งปากมดลูกที่ผู้หญิงควรรู้
แม้ในระยะเริ่มต้น อาการมะเร็งปากมดลูกอาจไม่มีสัญญาณเตือนที่ชัดเจน แต่เมื่อโรคดำเนินไป ผู้หญิงควรเฝ้าระวังสัญญาณดังต่อไปนี้
● ตกขาวผิดปกติ: ตกขาวมีสีเหลือง เขียว หรือมีกลิ่นเหม็นคาวปลา
● เลือดออกผิดปกติ: เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ เลือดออกกะปริดกะปรอยระหว่างรอบประจำเดือน เลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน
● ปวดท้องน้อย: ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดเสียดแทงบริเวณอุ้งเชิงกราน
● เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์: รู้สึกเจ็บหรือแสบขณะมีเพศสัมพันธ์
● ปัสสาวะหรืออุจจาระลำบาก: รู้สึกเหมือนมีอะไรมาขวางขณะปัสสาวะหรืออุจจาระ
● มีอาการอื่นๆ: เบื่ออาหาร ร่างกายอ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก สามารถทำด้วยวิธี Pap Smear ซึ่งเป็นวิธีสำคัญในการค้นหาเซลล์ที่ผิดปกติก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นมะเร็ง ผู้หญิงที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองทุก 3 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์
กระบวนการรักษาอาการมะเร็งปากมดลูก
วิธีการรักษามะเร็งปากมดลูก ขึ้นอยู่กับระยะของโรค สุขภาพโดยรวม และความต้องการของผู้ป่วย โดยทั่วไป โดยมีแนวทางการรักษาหลักๆ ดังนี้
● การผ่าตัด: เป็นวิธีรักษาหลักสำหรับมะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มต้น แพทย์จะทำการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก ซึ่งอาจเป็นการผ่าตัดแบบตัดกรวยปากมดลูก (cone biopsy) หรือผ่าตัดมดลูกและรังไข่ (hysterectomy)
● รังสีรักษา: มักใช้ควบคู่กับการผ่าตัด หรือใช้รักษาผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ โดยใช้รังสีพลังสูงยิงทำลายเซลล์มะเร็ง
● เคมีบำบัด: ใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง มักใช้ควบคู่กับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
ค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งปากมดลูก
ค่าใช้จ่ายในการรักษาอาการมะเร็งปากมดลูก ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะของโรค โรงพยาบาลที่รักษา วิธีการรักษา และประกันสุขภาพ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ค่าใช้จ่ายในการรักษาอาจอยู่ที่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท
วิธีการดูแลตนเองเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก
ผู้หญิงทุกคนสามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูกได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
● ฉีดวัคซีนป้องกัน HPV: วัคซีน HPV ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก ผู้หญิงควรฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุ 9-13 ปี หรือฉีดได้จนถึงอายุ 45 ปี
● ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก: ผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี Pap smear อย่างน้อยปีละครั้ง
● มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย: ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV
● จำกัดจำนวนคู่ค้าทางเพศ: การมีคู่ค้าทางเพศน้อยลง ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV