ยกระดับ “อุบลราชธานีแห่งเกษตรอินทรีย์” สู่ออร์แกนิคสากล
วันนี้ (27 ก.พ.62) - นายอนันต์ ปรีชาวุฒิวงศ์ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานเปิดงานวันสาธิตการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ “4 ดี : สุขภาพดี ผลผลิตดี ระบบนิเวศดี รายได้ดี” ชูหลักตลาดนำการผลิตเกษตรอินทรีย์ พร้อมสร้างฐานสาธิตเชิงปฏิบัติการแบบบูรณาการ ยกขบวนวิทยากรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกรต้นแบบ ครบทีมติวเข้มหัวหน้ากลุ่มเกษตรกร จำนวน 400 ราย ตัวแทนจาก 15 อำเภอ ในจังหวัดอุบลราชธานี ณ สนามกีฬา กลุ่มบริษัทอุบลไบโอเอทานอล ต.นาดี อ.นาเยีย
จ.อุบลราชธานี
การอบรมสาธิตมันอินทรีย์ในปีนี้ ประกอบด้วยวิทยากรจาก สำนักงานเกษตรจังหวัดอุบลราชธานี กรมส่งเสริมการเกษตร / สำนักงานวิจัยพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4 ศูนย์วิจัยพืชไร่ ศูนย์วิจัยวิศวกรรมขอนแก่น กรมวิชาการเกษตร / สถานีพัฒนาที่ดินอุบลราชธานี กรมพัฒนาที่ดิน / สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี / เกษตรกรต้นแบบรุ่น 1 - 2 และกลุ่มบริษัทอุบลไบโอเอทานอล จัดอบรมทั้งหมด 10 ครั้ง ในพื้นที่ขยายจุดรับซื้อมันอินทรีย์ นำร่องครั้งแรก บุกโรงแป้งมันแปรรูปมันอินทรีย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกร
เกษตรกรจะได้รับการอบรมผ่านฐานการเรียนรู้ทั้งหมด 8 ฐาน ดังนี้
ฐานที่ 1 รู้ดิน โดย สถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี
ฐานที่ 2 รู้ปุ๋ย โดย สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4
ฐานที่ 3 รู้พันธุ์ โดย ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี
ฐานที่ 4 การจัดการแปลงในระบบอินทรีย์ โดย สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4 และกลุ่มบริษัทอุบลไบโอเอทานอล
ฐานที่ 5 อารักขาพืช โดย สำนักงานเกษตรจังหวัดอุบลราชธานี
ฐานที่ 6 เครื่องจักรกลการเกษตร โดย ศูนย์วิจัยวิศวกรรมขอนแก่น
ฐานที่ 7 สุขภาพคนมันอินทรีย์ โดย สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี
ฐานที่ 8 เทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ โดย กลุ่มบริษัทอุบลไบโอเอทานอล และเกษตรกรต้นแบบ
นายอนันต์ ปรีชาวุฒิวงศ์ ประธานในพิธี กล่าวว่า “กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วยจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร และจังหวัดอำนาจเจริญ ได้กำหนดจุดยืน (POSITIONING) ในการพัฒนาเป็น “ศูนย์กลางของนวัตกรรมเกษตรแปรรูปและเกษตรอินทรีย์” Hub Of Innovation For Specialized And Organic Agriculture (HI-SO Agriculture) ตามนโยบายการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ของรัฐบาล เพื่อยกระดับและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้สูงขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนของอาชีพเกษตรในระยะยาว จังหวัดอุบลราชธานี มุ่งเป้าเป็น “อุบลราชธานีแห่งเกษตรอินทรีย์” ภายในปี 2564 ให้ได้ 1,000,000 ไร่ ในทุกพืช โดยเฉพาะมันสำปะหลังอินทรีย์ที่มีตลาดรองรับแน่นอน พร้อมตอบโจทย์ 4 ดี : สุขภาพดี ผลผลิตดี ระบบนิเวศดี รายได้ดี”
จากสโลแกนของปีนี้ “4 ดี : สุขภาพดี ผลผลิตดี ระบบนิเวศดี รายได้ดี” ถอดรหัสมาจากประสบการณ์ของเกษตรกรต้นแบบรุ่นพี่เริ่มที่ นางสมพิศ บัญกาที เกษตรกรต้นแบบรุ่นที่ 2 อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี เล่าว่า “ภายหลังจากเข้าร่วมโครงการฯ ไม่ใช่สารฆ่าหญ้า ทำให้มี “สุขภาพดี” ได้อบรมเรียนรู้วิธีการเพิ่มผลผลิตจากกรมวิชาการเกษตร ไปปรับใช้ปีนี้ได้ผลผลิต 4 ตันต่อไร่ที่ 33 เปอร์เซ็นต์แป้ง
ตามมาด้วย “ผลผลิตดี” ทางด้านนายชุมพล เวชสิทธิ์ เกษตรกรต้นแบบรุ่นที่ 1 อ.นาเยีย จ.อุบลราชธานี อดีตข้าราชการครูที่ผันตัวมาเป็นเกษตรกร เล่าว่า “การเพาะปลูกมันสำปะหลังอินทรีย์สอดคล้องกับวิถีความชอบของตนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พื้นที่แนวกันชนเป็น 80 ไร่ เป็นแนวกันชนธรรมชาติ ใช้ปุ๋ยหมักจากอินทรีย์วัตถุดิบที่หาเองในสวน มีการบำรุงดินด้วยปอเทือง ความสมดุลที่ทำสม่ำเสมอทำให้แปลงและสวนรอบบ้านมี “ระบบนิเวศดี” สามารถเจอพืชพรรณที่เกิดตามธรรมชาติ เห็ดป่า ฯลฯ มากมาย
นายกฤษณะ ผลพล เกษตรกรต้นแบบรุ่นที่ 1 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เล่าว่า “หันมาปลูกมันอินทรีย์ “รายได้ดี” เพราะหลักอินทรีย์ทำให้เราจดบันทึกเห็นต้นทุนรายรับรายจ่าย วางแผนการลดต้นทุนได้มากขึ้น รวมทั้งบริษัทมีการประกันราคาที่แน่นอนทำแล้วกำไรมากกว่าเดิม
การยกระดับเกษตรกรไม่เพียงแต่งดสารเคมี แต่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องทำความเข้าใจกับคำว่า “อินทรีย์” ไม่ใช่แค่ความสะอาด ไม่ใช้สารเคมี หรือมกระบวนการมาจากธรรมชาติเท่านั้น จะทำเกษตรอินทรีย์อย่างไรให้ขายได้เป็นราคา ยกระดับสู่สากลได้ ต้องคำนึงถึงความหมายของอินทรีย์ให้ลึกซึ้ง กล่าวคือ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังอินทรีย์ ต้องผ่านกระบวนการควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนสามารถได้เอกสารรับรองทุกมาตรฐานที่ลูกค้าต้องการ ได้แก่
(1) มาตรฐานอินทรีย์ไทยแลนด์ มกษ 9000-2552 (THAILAND ORGANIC)
(2) มาตรฐานอินทรีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา(USDA-NOP)
(3) มาตรฐานอินทรีย์ กลุ่มประเทศยุโรป (EU ORGANIC)
(4) มาตรฐานอินทรีย์ ประเทศญี่ปุ่น (JAPANESE AGRICULTURAL ORGANIC STANDARD;JAS)
(5) มาตรฐานอินทรีย์ ประเทศเกาหลี (KOREAN ORGANIC STANDARD) และ
(6) มาตรฐานอินทรีย์ ประเทศจีน (CHINA ORGANIC)
ซึ่งทุกมาตรฐานผ่านได้ถ้าเกษตรกรมีความตั้งใจ ซื่อสัตย์ ทางการตลาดก็พร้อมที่จะพาเกษตรกรไปสู่มาตรฐานสากล เข้าประเด็น WIN-WIN ปลูกได้ดีมีคุณภาพ ขายของได้มีคุณภาพเช่นกัน ซึ่งขอบอกว่างานดีไม่มีค่าใช้จ่าย ขอแค่มีเวลาและความตั้งใจจริง
ทางด้านการตลาด นางสาวกัณฑ์พร กรรณสูต ตัวแทนกลุ่มบริษัทอุบลไบโอเอทานอล กล่าวว่า “ปัจจุบันแป้งมันออร์แกนิคเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างมาก เพราะแป้งมันออร์แกนิคสามารถแปรรูปให้เป็นอาหารแห่งอนาคต (Future Food) และอาหารเพื่อสุขภาพได้หลากหลาย สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในการเป็นส่วนผสมอาหารพรีเมียมในแต่ละเมนูได้ เราควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำ คือ แปลงเกษตรกรไปจนถึงการผลิต ไปจนถึงขนส่งถึงลูกค้า มีการประกันราคาที่สูงกว่าตลาด ในปีนี้ในเกษตรกรที่มาส่งที่โรงงานถ้าผ่านมาตรฐานอินทรีย์แล้ว เรารับซื้อที่กิโลกรัมละ 4 บาท 30% เปอร์เซ็นต์แป้ง หากมีเกษตรกรที่สนใจตอนนี้เราเปิดรับสมัครรุ่นที่ 4 แล้วสามารถติดต่อมาที่โรงงานได้โดยตรงค่ะหมดเขต 31 มีนาคมนี้ค่ะ”
กิจกรรมในครั้งนี้จัดเพื่อมุ่งเน้นให้เกษตรกรหันมาปรับเปลี่ยนจากการใช้สารเคมีในแปลงมัน มาสู่การทำอินทรีย์ แม้ว่าจะขับเคลื่อนตามนโยบายภาครัฐ แต่สุดท้ายความยั่งยืนเกิดจากการทำอย่างจริงจังในพื้นที่ มีคนปลูกก็ต้องมีคนซื้อ มีคนผลิตก็ต้องมีคนสนับสนุน จะเห็นว่าปีนี้ก้าวเข้าสู่การขยายพื้นที่ แสดงผลถึงการทำได้จริงในพื้นที่ต้นแบบนำร่องตั้งแต่ปี 2558 เริ่มที่ 4 อำเภอ คือ อ.นาเยีย อ.สว่างวีระวงศ์ อ.วารินชำราบ และ อ.พิบูลมังสาหาร ขยายผลได้ไปถึงรวมกันเป็น 15 อำเภอ ได้แก่ อ.โขงเจียม อ.ศรีเมืองใหม่ อ.สิรินธร อ.ตระการพืชผล อ.ดอนมดแดง อ.ตาลสุม อ.โพธิ์ไทร อ.เขมราฐ อ.กุดข้าวปุ้น อ.นาตาล อ.เหล่าเสือโก๊ก ซึ่งในระหว่างวันที่ 4 – 8 มีนาคม 2562 นี้ทางโครงการฯ มีการขยายผลอบรมให้ทั่วถึง พร้อมยกระดับเกษตรกรให้ได้ 50,000 ไร่ภายในปี 2565 นี้