คาดระดับน้ำมูลจะสูงสุดวันที่ 6 ต.ค.นี้
วันที่ 1 ตลุาคม 2565 ที่ห้องประชุมอาคารศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ สำนักงานชลประทานที่ 7 อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายใต้ กอนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมทรัพยากรน้ำ และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (Gistda) เป็นต้น
พร้อมลงพื้นที่ประสบอุทกภัย บริเวณชุมชนวัดหลวง 2 และให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยที่ เชิงสะพานเสรีประชาธืปไตย และชุมชนวัดวาริน เทศบาลเมืองวารินชำราบ และจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำบริเวณแก่งสะพือ อ.พิบูลมังสาหาร
แม้ว่าพายุ “โนรู” จะอ่อนกำลังและสลายตัวแล้ว แต่ก็ส่งผลกระทบให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำริมสองฝั่งลำน้ำชีและมูลที่ยังคงสูงเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ชุมชน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสภาพอากาศในระยะนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดูฝนซึ่งถือว่าก็ยังมีความเสี่ยงจากฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง จึงต้องบริหารจัดการน้ำอย่างระมัดระวัง โดยคำนึงผลกระทบกับประชาชนส่วนใหญ่และพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ รวมถึงเร่งสำรวจโครงสร้างระบบชลประทาน คันกั้นน้ำ อุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือให้พร้อมใช้งาน เพื่อเร่งสูบน้ำและระบายน้ำออกจากพื้นที่ท่วมขังให้กลับเข้าสู่ลำน้ำและระบายลงสู่แม่น้ำโขงโดยเร็วที่สุด
ปัจจุบันระดับน้ำมูลสถานี M.7 บริเวณสะพานเสรีประชาธิปไตยสูงกว่าระดับตลิ่ง 2.83 เมตร และระดับน้ำจะสูงสุดวันที่ 6 ต.ค.นี้ จะไหลผ่าน M.7 อยู่ที่ 4,785 ลบ.ม./วินาที (+115.65 ม.รทก.)
จากการวิเคราะห์ของศูนย์ส่วนหน้าฯ ปริมาณฝนภาคอีสานยังคงมีอยู่แต่ไม่มากนัก จึงคาดว่าระดับน้ำที่ M.7 ประมาณวันที่ 28 ต.ค.จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังต้องติดตามต่อเนื่องเพื่อปรับแผนจัดการน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณฝนที่ตกลงมาตอนบน ควบคู่กับการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนให้สามารถกลับเข้าสู่บ้านเรือนเพื่อสำรวจความเสียหายทรัพย์สิน และรับชดเชยเยียวยาตามหลักเกณฑ์ต่อไป
แม้ว่าพายุ “โนรู” ทำให้เกิดฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ซึ่งเบื้องต้นศูนย์ส่วนหน้าฯ พบว่า ปริมาณฝนจากพายุโนรูลูกเดียวมากกว่าปริมาณฝนจากพายุโพดุล และคาจิกิเมื่อปี’62 แต่ปีนี้เรามีการบริหารจัดการน้ำที่ดีขึ้น รวมถึงมีการบูรณาการหน่วยงานภายใต้ศูนย์ส่วนหน้าฯ กอนช. เพื่อเตรียมการป้องกันผลกระทบให้ประชาชนไว้ล่วงหน้า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงน้อยกว่า มีการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนต่างๆ โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่ได้ช่วยเก็บกักน้ำเพื่อหน่วงน้ำไว้ไม่ให้หลากลงท่วมในพื้นที่ท้ายน้ำด้วยส่วนหนึ่ง
ซึ่ง สทนช.ได้ประเมินน้ำที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง จากอิทธิพลของพายุ “โนรู” มีปริมาณน้ำลงเขื่อนเพิ่มขึ้นประมาณ 11,502 ล้าน ลบ.ม. (ช่วง 22 ก.ย. – 10 ต.ค.65) ทั้งนี้ เมื่อพายุสลายตัวแล้ว สทนช.จะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกรมทรัพยากรน้ำ วางแผนการบริหารจัดการน้ำในการเก็บกักน้ำ รวมถึงพิจารณาการเพิ่มอัตราการระบายน้ำโดยวิเคราะห์จากปริมาณฝนในช่วงเดือน ต.ค.นี้ อย่างต่อเนื่องด้วย