แพทย์ รพ.สรรพสิทธิ์ วอนคนไทย ถ้าแค่สงสัย ไม่ต้องไปตรวจ COVID-19
วันที่ 24 มีนาคม 2563 สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด 19 กำลังทวีความรุนแรงขึ้น มีผู้ป่วยติดเชื้อมากขึ้นในประเทศไทย หลายคนเกิดความวิตกกังวลว่าตนจะติดเชื้อหรือไม่ พากันไปโรงพยาบาลตรวจ COVID-19 ทำให้เพิ่มงานให้กับบุคคลากรทางการแพทย์ประจำโรงพยาบาลต่างๆ ไม่เว้นกระทั่งโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดด้วย
ล่าสุด นพ.เพียรศักดิ์ แซ่หว่อง กุมารแพทย์ด้านระบบทางเดินหายใจเด็ก โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกมาโพสเฟสบุ้คของตนผ่านทาง Wong Wiriya ขอความร่วมมือคนไทย ให้สังเกตอาการตนเอง ถ้าแค่สงสัย ยังไม่ต้องไปตรวจนะครับ เพราะในโรงพยาบาลยังมีคนป่วยที่ไม่ใช่ติดเชื้อโควิด 19 รอการรักษาอีกมาก โดยข้อความทั้งหมดมีดังนี้
หมอเด็กโรคปอดเล็กๆ ของเด็กๆ แต่ปรารถนาอยากให้ปอดและหัวใจของคนไทยทั้งประเทศแข็งแรง ด้วยเมื่อไหร่ก็ตามที่ รพ. ของผม ขนาด 1200 เตียง มีการระบาดของเชื้อ ณ จุดใดจุดหนึ่ง หรือมีบุคลากร ส่วนใดส่วนหนึ่งติดเชื้อ นั่นหมายความว่า หมอและพยาบาล เจ้าหน้าที่อีกหลายคน 10-20-30-40-50 ต้องโดนกักตัว แล้วคนไข้ที่กำลังนอนอยู่ เกือบพันเตียง คนไข้ไอซียู ที่ไม่ใช่ COVID ที่นอนใส่ท่อหายใจอยู่ ใครจะดูแลเขา และถ้าเป็นอย่างนั้น คนไข้ที่อาจตายได้เยอะ และเปอร์เซ็นต์การเสียชีวิตสูงกว่า คนไข้กลุ่มCOVIDอีก ซึ่งถ้าไม่มีใครช่วยเขา เขาอาจเสียชีวิต 100% และ รพ. ใหญ่ๆ ในทุกจังหวัดก็เป็นเช่นนั้น
จึงเป็นเหตุผลของมาตรการ การขอความร่วมมือทุกคนในประเทศไทยของเราต้องช่วยกัน
1. แค่สงสัย ไม่ได้มีประวัติเสี่ยง ไม่มีอาการ ไม่ต้องมา รพ. นะครับ ให้สังเกตุอาการนะครับ
2. ถ้ามีประวัติเสี่ยง แต่ไม่มีอาการ บางคนอาจอยากมาตรวจ test ว่าเป็นไหม โดยส่วนตัว การทำ test ก็ไม่จำเป็น แต่ต้องกักตัวเอง มีวินัยรับผิดชอบตัวเอง และส่วนรวมเท่านั้น สังเกตุอาการ ไม่มีอาการอะไร ก็ไม่ต้องทานยา ระหว่างนี้ดูแลตัวเองให้แข็งแรง พักผ่อน ทานอาหารพอเหมาะและมีประโยชน์ จัดสิ่งแวดล้อมที่ไม่ระคายเคืองต่อปอด เช่น หลีกเลี่ยงกลิ่น ฝุ่น และควัน การกังวลเกินไปอาจทำให้เรานอนไม่หลับ เมื่อนอนไม่พอ ร่างกายอ่อนแอ ถ้าเรามีเชื้ออยู่เชื้ออาจกำเริบ และกลายเป็นโรค COVID-19 ได้ ซึ่งปกติถ้าทำทุกอย่างที่ว่ามา 80% ของผู้ติดเชื้อหายเอง และไม่ลงปอด
3. สมมุติว่าเราติดเชื้อ เนื่องจากมีประวัติเสี่ยง และทำ test แล้ว ผลเป็น positive ต่อเชื้อ ณ ปัจจุบันในไทยยังให้นอน รพ.ทุกราย นอนเพื่อกักกันตัว สังเกตุอาการ ถ้าไม่มีอาการอะไรเลย การรักษาเป็นแบบประคับประคองเท่านั้น ไม่ให้ยาอะไร และต้องกักกันอย่างน้อย 14 วัน จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อแล้วกลับบ้าน นี่คือนโยบายของไทยตอนนี้ ซึ่งต่างประเทศหลายประเทศไม่ทำแบบนี้แล้ว คือ ถ้าพบเชื้อแต่ไม่มีอาการอะไร เขาให้กักตัวที่บ้าน แยกจากคนอื่นโดยเด็ดขาด มีวินัยต่อตัวเองและคนอื่น ซึ่งทุกคนทราบอยู่แล้วว่า ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
ณ จุดนี้นี่เอง ที่ทุกคนต้องใช้จิตสำนึกที่ดีงามในชีวิต เมื่อรักตัวเองเป็น ก็ต้องรักผู้อื่น รักเพื่อนร่วมแผ่นดินของเราให้เป็นด้วย ถือว่าการกระทำแบบนี้ ก็คือได้ตอบแทนคุณแผ่นดินแล้ว และผมก็คิดว่า อีกไม่นานเราก็จะเปลี่ยนเป็นแบบนี้ เพราะ รพ. ไม่มีที่มากพอ ในการให้ทุกคนที่มีเชื้อ นอนดูอาการแต่ละคนจนครบ 14 วัน ในขณะที่คนไข้เพิ่มขึ้นอย่างยิ่งยวด
4. คนไข้ที่จะให้ยาและจำเป็นต้องนอน รพ. สำหรับผมคือ แน่นอนต้องตรวจพบเชื้อ ร่วมกับมีอาการที่บ่งบอกว่าเชื้อเริ่มก่อโรค อาการดังกล่าวคือ
4.1 ไข้สูงหรือไข้เป็นๆหายๆ 4-5 วันแล้วยังไม่ลด ซึ่งปกติการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ไข้จะต่ำๆ และลงเอง 3-4 วัน การที่เป็นอย่างนี้ บ่งบอกถึงปฏิกิริยาของร่างกายตอบโต้กับเชื้ออย่างรุนแรง การอักเสบเริ่มรุนแรงจึงปรากฏเป็นอาการไข้
4.2 ไอมาก การไอมากบ่งบอกถึงการที่หลอดลมมีการอักเสบและระคายเคือง เชื้อยิ่งลงไปลึกการอักเสบมากขึ้น การไอจะเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นสัญญาณอันตรายว่า เชื้อมีสิทธิ์ที่จะลงไปถุงลมปอดได้
4.3 หายใจลำบาก การหายใจลำบากนี้ หมอขอเน้นว่า ไม่ใช่อาการคัดจมูก มีคนไข้หลายคนที่ถามหมอว่า เขาก็หายใจลำบาก ท้ายที่สุดเขาคัดจมูก จากหวัดธรรมดาหรือจากภูมิแพ้กำเริบ ทำให้หายใจไม่สะดวก อาการนี้ไม่ใช่สัญญาณอันตรายอะไร แต่ในคนไข้ที่มีปัญหาจริงๆ เขาจะเริ่มแน่นหน้าอก บางคนเจ็บหน้าอก ต้องใช้แรงในการหายใจมากกว่าปกติ ประกอบกับถ้าเชื้อไปปอด ก็จะไอมากและเหนื่อยมากขึ้น เนื้อปอดเริ่มอักเสบ หมอขอใช้คำว่า เน่า จะได้เห็นภาพ เสมือนเราซื้อเนื้อหมูมาใส่ถุงพลาสติกไว้ แต่ไม่ได้แช่เย็นนั่นแหละครับ จะเริ่มจากจุดเล็กและลุกลามไปสู่จุดอื่นๆ การขนส่งออกซิเจนเริ่มมีปัญหา
เพราะปอดคือ สถานีชุมทางการแจกจ่ายออกซิเจนไปทั่วร่างกาย เมื่อสถานีใหญ่โดนโจมตี สถานีย่อยๆเริ่มขาดแคลน ยิ่งจุดใดที่ห่างจากปอดไปมากยิ่งขาดมาก และแสดงอาการได้เร็ว ออกซิเจนในร่างกายจึงลดต่ำลง ทำให้คนไข้ต้องหายใจแรงและเร็ว หัวใจต้องทำงานหนัก เพราะออกซิเจนต้องถูกปั๊มโดยหัวปั๊มนี้ ที่เรียกว่าหัวใจ ดังนั้น ถ้าปอดยังเน่าเพิ่มขึ้น ตัวปั้มหรือหัวใจนี่แหละจะพังและตายในที่สุด คนไข้ที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ โรคปอดที่เป็นอยู่เดิม ผู้สูงอายุ ที่ทั้งภูมิไม่ดี ปอดผู้สูงอายุยืดหยุ่นไม่ดีขยายได้จำกัดจึงอันตรายมากๆ เป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้สูงอายุถึงถูกโจมตีมากกว่าเด็กและคนหนุ่มสาว
เมื่อถึงภาวะปอดเน่าทั้งสองข้างแล้ว นี่แหละคือโอกาสการเสียชีวิตเกิน 50% แน่ๆ ถึงจะดูแลดีอย่างไรด้วยเทคโนโลยีที่มีทั้งหมดบนโลกใบนี้ ผู้ป่วยมีสิทธิ์รอด 60% เท่านั้น นี่คือข้อมูล
4.4 กลุ่มที่ติดเชื้อและมีโรคประจำตัว และภูมิร่างกายไม่ดีด้วยสาเหตุใดๆ เช่น ได้ยากดภูมิ กลุ่มนี้ต้องสังเกตอาการใกล้ชิดเช่นกัน
5. มีคนถามว่า เมื่อเจอเชื้อแล้วทำไมไม่ให้ยาทุกคน ขอตอบเพื่อนๆ พี่น้องร่วมชาติของพวกเราทุกคนด้วยความรักว่า ปัจจุบันนี้ไม่มียารักษา COVID-19 โดยตรง เพียงแต่เอาข้อดีของยาแต่ละกลุ่มมาใช้ เพื่อยับยั้งเบรคไม่ให้เชื้อไปเร็ว ยาแต่ละตัวมีผลข้างเคียงมาก จึงใช้ในเหตุผลอันควรครับ
ดังนั้น ด้วยเหตุผลนี้ ในคนไข้ที่มีเชื้อแต่ไม่มีอาการที่ว่ามา การรักษาจึงประคับประคองเท่านั้น เพราะถ้าไม่มีความเสี่ยงดังกล่าวแล้ว 80% หายเอง ข้อแม้ต้องดูแลตัวเอง กักตัวเองเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่และไม่ไปรับเชื้อเพิ่ม หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ แล้วคิดในใจว่า ทำไมหมอไม่เห็นให้ยารักษาอะไรเลย
6. สำหรับยา อาวิแกน ที่หลายคนถาม จริงๆ ยานี้มีมานานแล้ว ผลิตขึ้นมาเพื่อรักษาไข้หวัดใหญ่ที่ไม่ตอบสนองต่อยาที่มี คือ tamiflu ยาตัวนี้ก็มีผลข้างเคียงและมีจำนวนจำกัด เราผลิตเองไม่ได้ ยานี้จีนกะญี่ปุ่นร่วมพัฒนา และมีจำนวนจำกัด โดยเท่าทีมีหลักฐาน ช่วยลดจำนวนวันของไข้และบรรเทาอาการ ลงเร็ว จึงนำมาใช้กับคนไข้ที่มีอาการที่กล่าวมาในข้อ 4 ครับ ทั้งประเทศหมอไม่ทราบว่ามีเท่าไหร่ แต่ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ไม่ถึง 1 แสนเม็ด ใช้ได้เพียง 500 คน จึงจำกัดไว้ให้ปู่ย่าตายายของพวกเราทุกคนที่กำลังป่วยและมีอาการครับ แต่คาดว่า อาจได้รับสนับสนุนมาเพิ่มครับ อย่างไรก็ต้องใช้ตามข้อบ่งชี้
ขอย้ำว่า ไม่มีอาการอะไร ถึงแม้มีเชื้อก็ไม่ให้ยานะครับ กักตัว 14 วันเท่านั้น ที่เหลือทำตามหมอบอกครับ หวังว่าการพิมพ์ที่กระท่อนกระแท่นของหมอ พอที่จะเป็นองค์ความรู้เพื่อผู้คน เพื่อนร่วมชาติของเรา เมื่อเรามีองค์ความรู้แล้ว การแตกตื่น จะลดลง ความเครียดลดลง ภูมิไม่ตก ติดเชื้อยากขึ้นครับ
หวังว่าทุกคนสบายดีนะครับ หมอจะพยายามดูแลตัวเองให้ดี เพื่อจะได้อยู่เป็นเพื่อนและส่งข้อมูล ที่ควรจะเป็นประโยชน์ ให้เพื่อนที่รักทุกคนนะครับ
ด้วยรัก
จากหมอเด็กที่ดูแลโรคปอดของเด็กๆ ให้แข็งแรง แต่ปารถนาที่จะให้ปอดและหัวใจของคนไทยทั้งประเทศแข็งแรงด้วย
ขอบพระคุณนะครับ ค่อยเจอกันอีกนะ