ข้าวต้มเจ๊กหวื่อ ตำนานร้านข้าวต้ม โหด มันส์ ฮา เมืองอุบล
"ข้าวต้มเจ๊กหวื่อ" เป็นตำนานร้านข้าวต้มดังของเมืองอุบลฯ ตั้งแต่ไกด์อุบลเริ่มทำเว็บไซต์ใหม่ๆ ก็ได้ยินกิตติศัพท์มามาก เสียดายแต่ว่าหาทานไม่ได้แล้ว เพราะเจ๊กหวื่อไม่มีทายาท และไม่มีใครที่ได้สูตรข้าวต้มเจ๊กหวื่อไปเลย ข้าวต้มเจ๊กหวื่อเลยเป็นตำนานให้คนรุ่นอายุ 50 ปีขึ้นไปได้เล่าขานต่อๆ กันมา
ข้าวต้มเจ๊กหวื่อ เป็นข้าวต้มไก่นะครับ ถามจากคนที่เคยกิน เค้าว่า เค้าจะหั่นไก่เป็นชิ้นเล็กๆ มีน้ำซุปเป็นสีแบบเหลืองทอง เวลาสั่ง เจ๊กหวื่อก็จะเอาข้าวสวยใส่ชาม ตักไก่พะโล้ราดหน้าไว้ แล้วตามด้วยน้ำซุป ซึ่งทีเด็ดจะอยู่ที่น้ำซุปนี่ล่ะครับ
ขอบคุณภาพตัวอย่างจากเพจ คลับอร่อย : ข้าวต้มเรือตาเจ๊ก แม่กลอง ที่ีไกด์อุบลคิดว่า ข้าวต้มเจ๊กหวื่อ คงจะคล้ายๆ กัน
ถึงแม้ว่า คนขายจะบ่นเก่ง ด่าเก่ง ยังไง ก็ยังมีลูกค้านั่งเต็มร้าน และรอคิวอย่างสงบเรียบร้อย เหตุที่เรียกว่า "เจ๊กหวื่อ" ก็เพราะคำว่า "หวื่อ" เป็นภาษาอีสานแปลว่า บ่น โมโห อะไรประมาณนี้ คนขายข้าวต้มร้านนี้ ก็แนวๆ บ่นเก่ง ขี้บ่น ที่สำคัญ ลูกค้าทุกคน อยากกินข้าวต้มร้านนี้ ก็ต้องฟังแกบ่นลั่นร้าน แกไม่ชอบเสียงดังครับ ถ้าไปนั่งร้านนี้ควรจะสงบปากสงบคำไว้
เคยมีคนเล่าว่า กฎเหล็กของการไปทานอาหารที่ร้านเจ๊กหวื่อคือ
- ห้ามแซงคิว เจ็กหวื่อแกจะจำได้หมดว่าใครมาก่อนมาหลัง แกไม่สนใจลูกค้าเท่าไหร่นัก จะก้มหน้าก้มตาทำข้าวต้มของแกไป แค่เหลือบตามองนิดเดียว
- ถ้าไม่ได้ถาม ห้ามสั่ง อย่าไปยืนสั่งแก ไม่งั้นจะโดนด่า..
- อย่าเรื่องมาก ห้ามสั่งไม่เอานู่น ไม่ใส่นี่ ไม่ได้ทั้งนั้น โดนด่า...
- อย่าคุยกันในร้าน โดนด่า... แกจะตะโกนด่าเสียงดังฟังชัดเลยว่า ถ้าจะกิง ก็รีบๆกิง ถ้ามาคุยกัง..ไปแหลกร้านอื่น...
- อย่านั่งแช่ ทานเสร็จต้องรีบลุกไปจ่ายตังค์ ม่ายง้านโดนด่า เพราะคนรอคิวยาวมาาากกก
- อย่าอภิสิทธิ์ แกจะไม่เคยให้ใครมาใหญ่ในร้านแกได้เลย ครั้งหนึ่งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาทาน คนที่รู้จักคงทานเสร็จพอดี จึงลุกเพื่อให้ท่านได้นั่ง ไม่ต้องยืนรอคิว เป็นเรื่องเลยครับ เจ็กหวื่อแกตะโกนมาเลยว่า นั่งก่อง...ก้อได้แหลกทีหลังเค้าอยู่ดี... ท่านผู้นั้นได้อายลุกจากโต๊ะให้คนที่มารอคิวก่อนแทบไม่ทัน
- อย่าติ อย่าชม รสชาติข้าวต้มของแกว่าทำไมวันนี้จืดไปเค็มไป หรืออร่อยจังเลย โดนด่า...
คุณ สมชาย วจนะวิชากร บอกว่า.... เรื่องเจ๊กหวื่อนี้ ถ้าจะเล่ากันจริงๆ ต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ผมโตมากับเจ็กหวื่อ เห็นมาตั่งแต่เจ๊กหวื่อขายอยู่ตรงข้ามโรงหนังวาริน (เจ้าของซื่อนายไข่) แล้วเด็กโรงหนังมากวนแก แกด่าไล่หนี เด็กโมโห เมื่อปิดร้านจึงมายกโต๊ะวางของขายแกไปทิ้งที่บ่อร้าง ตรงสนามทุ่งคำน้ำแซบในปัจุบัน แกตื่นเช้าไม่เห็นโต๊ะขายของ โมโหมาก ไปซื้อนำ้มันก๊าชมา จะเผาบ้าน ชาวบ้านจึงแจ้งตำรวจ มาจับ ยายผมชื่อยายฮวย ไปประกันตัวให้ วีรกรรมครั้งนั้น จึงเป็นที่มาของคำว่าเจ๊กหวื่อครับ วันหลังว่างๆจะเล่าให้ฟังเป็นตอนๆไป
มีเรื่องเล่าจากคุณ LimpBizKit ว่า.... ผมเคยไปกินสั่ง มันถามว่าเอาชามเล็กชามใหญ่ ผมบอกเอาชามเล็กมาหนึ่ง .. แหมอร่อยสิ้นดี ตานี้ก็ต้องสั่งเพิ่มมาอีกหนึ่งใช่ไหมเล่า มันเดินตรงเข้ามา มองหน้าและมองชาม มองตั้งแต่หัวจรดปลายตะเกียบแล้วว่า
"ลื้อไร้คุณธรรม อั๊วก็ถามเลี้ยว ว่าเอาชัมเล็กหรือชัมใหญ่ ลื้ออย่าโกงกินกันให้มั่กนัก ชัมใหญ่ก็ชามหญ่ายไปเลยทีเดียว จะได้อิ่มไม่ต้องสั่งเพิ่ม เสียเซ้วจริง ๆ เก๋ากี่อ่าอั๊วอึ่มจ๋ายย"
หรือที่คุณ navara1881 เล่าว่า.... น่าจะข้าวต้มลูกชิ้นปลานะ ถ้าผมจำไม่ผิดเพราะผมก็ทัน ตอนที่แกมีชีวิตอยู่ ผมไปกินกับพ่อสมัยยังเด็กๆ อยู่อายุ 7-8 ขวบ ยังจำได้ดีใจก็ไม่เชื่อว่าแกด่าจริงหรือเปล่า วันนั้นไป ได้นั่งโต๊ะสุดท้ายโต๊ะด้านนอกร้าน ร้านแกมีประมาณ 5 โต๊ะ ห้องเดียว รีบกินรีบลุก เพราะคนมาสั่งเยอะ วันนั้นนั่งรอแถมกวนน้ำส้มสายชูเล่น ปรากฏว่าแก ตะโกนมานั่งเฉยๆ ได้ไหม อย่ากวนน้ำส้มเล่น เท่านั้นแหละ ผมถึงได้รู้เจ๊กหวื่อเป็นยังไง
วันต่อมาไปนั่งกินกับพ่ออีก วันนั้นประมาณช่วง 1 ทุ่มกว่า ก็ยังพอมีคนกินอยู่ที่ร้านอยู่ เกือบจะเต็มรานมีทหารขี้เมาเดินมาจาก คลังน้ำมันรถไฟ ถือหม้อใส่น้ำมันหมูมาด้วย สั่งเจ็กหวื่อเอาข้าวต้มด้วย แต่เจ็กหวื่อบอกให้รอเพราะทำให้ลูกค้าอยู่ แต่ลูกค้าทหารรายนั้นไม่ยอมจะเอาเดี๋ยวนี้ เจ็กหวื่อก็เลยด่าให้ งั้นอั๊วไม่ขายลื้อ ไปกินที่อื่น ลูกค้าที่เป็นทหารก็เดินกลับไป พอสักครู่หนึ่งเดินกลับมาพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน รวมเป็น 3 เจ็กหวื่อกำลังเก็บตังค์ลูกค้าอยู่ทางโต๊ะด้านนอกอยู่พอดี เท่านั้นแหละทั้งรองเท้าบู๊ท 3 คู่ ต่างประเคนลงที่ตัวเจ็กหวื่อ ตัวผมก็อยู่ทางด้านนอกเหมือนกัน แต่ไม่มีใครช่วย เห็นแต่เจ็กหวื่อเอาเก้าอี้ยกครอบหัวไว้ ตัวนั้นนั่งย่อลง เห็นแล้วก็ทั้งสะใจและสงสารแกนะ
กิตติศัพท์เรื่องโยนหม้อออกมานอกร้าน โด่งดังมากใครๆ ก็จำเรื่องนี้ได้ อย่างที่คุณ Wijitar Suwannagoot บอกว่า เห็นเล่ากันว่าแกขายดีมาก มีว้นหนึ่งขายดีมากจนโมโหโยนหม้อ ข้าวต้มออกมานอกถนน 555
แล้วคุณ Mig Narapongpun Achawanantakula ก็มาเฉลยว่า ไอ้ที่โยนหม้อ คือมีคนไปซื้อกลับบ้านครับ สมัยก่อนเวลาไป ไม่ต้องทำอะไร นั่งรอเงียบๆ เดียวได้กินเอง ตามคิว และแกจำแม่นด้วยฮ่ะ แต่คนถึอหม้อไม่รู้ทำเนียมไปสั่งแก แล้วเอาหม้อวางไว้ แกไม่ทำให้ ไปเร่งแก แกเลยโยนหม้ออกไปหน้าร้านครับ
เรื่องข้าวต้มเจ๊กหวื่อ หน้าตาเป็นอย่างไร คุณ วินนี่ น่ารักจัง อธิบายจากความทรงจำวัยเด็กว่า น่าจะ 30 กว่าปีขึ้นไปค่ะ เพราะตอนเด็กๆ เคยไปกินกับพ่อ พอนึกถึงก็ยังติดใจในรสชาติ ข้าวต้มไก่มีลูกชิ้นปลาและมันเหลืองๆ ลอยในถ้วยอร่อยสุดๆ (น้ำซุปในข้าวต้มก็ออกเหลืองนิดนิด...)
คุณ ประพนธ์ โชควิวัฒนวนิช เพิ่มเติมข้อมูลได้อย่างน่าสนใจ เอาเรื่องรสชาติก่อนแล้วกัน ข้าวต้มเจ็กหวื่อ คือ ข้าวต้มเครื่อง มีเนื้อไก่และลูกชิ้นปลาเป็นหลัก ความอร่อยขึ้นอยู่กับคนกินที่ชอบ บางคนชอบไก่ บางคนชอบลูกชิ้นปลา (ชื่นชมว่าไม่คาว) บางคนชอบน้ำซุป รวมความแล้วผมว่าอร่อยทุกอย่าง เพราะดูแล้วเกลี้ยงก้นชามทุกคนครับ.
เรื่องกิตติศัพท์ จริงแท้แน่นอนครับ สมัยนั้นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องเขียนถึงแกครับ เดินเข้าไปในร้าน หาที่นั่งได้เลยไม่ต้องสั่งให้ยาก แกจะบอกเลยว่า อั๊วขายข้าวต้มอย่างเดียว เพื่อนผมเอาไม้ตะเกียบเคาะโต๊ะเล่น แกเดินมาถามว่า เคาะทำไม พ่อแม่ไม่เคยสั่งสอนเรอะ
ผู้ใหญ่ เมืองอุบลฯ (ใหญ่มาก ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่) เป็นขาประจำทั้งครอบครัว วันหนึ่งเกิดอยากกินเบียร์ซึ่งร้านเจ๊กหวื่อไม่มีขาย แกเลยซื้อจากข้างนอกไปกิน ได้ผลครับ เจ๊กหวื่อเดินเข้าไปบอกว่า ที่นี่มีแต่ข้าวต้ม อยากแหลกเบียร์ไปแหลกข้างนอก เงิบเลยครับต้องเอาเบียร์ไปเก็บที่รถ ประโยคที่ว่า "อยากแหลกร้อนร้อน มาแหลกถ่านในเตา" ก็มาจากแกครับ พวกทหารในค่ายวารินฯ มาล้มเตาแกบ่อยครับ
แต่ผมว่า แกทำอร่อยครับ สะอาดด้วย อยู่ตัวคนเดียวแกคงเหงา เท่าที่ทราบ เวลาแกว่าง แกมักจะไปอยู่ที่มูลนิธิสว่างบูชาธรรม (วารินฯ) จนแกเสียชีวิตในที่สุด
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
คุณ นิกร วีสเพ็ญ ก็มีประสบการณ์ตรง เล่าว่า ผมเคยพาคุณภูมิธรรม เวชยชัย (เสี่ยอ้วน) ไปทานแล้วเมื่อเกือบ 35 ปีที่แล้ว แกลองของ หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน อยู่ๆ ก็มีเสียงดังมากร้องตะโกนมาด่า ข้อความว่า "ลื้ออยากอ่านหนังสือพิมพ์ ลื้อก็ไปอ่านที่ห้องสมุดโน่น นี่มันร้านข้าวต้มก็ต้องกินข้าวต้ม....ห้ามอ่านหนังสือพิมพ์".....5555 เจอ ของจริง...
คุณ เอ๋ รักชนก มีบ้านอยู่แถวๆ ร้านข้าวต้มเจ๊กหวื่อเลย แม้เจ๊กหวื่อจะปากร้าย แต่ก็ใจดีนะครับอยู่แถวบ้านเลยค่ะ อาแป๊ะปากร้ายใจดีค่ะ แกจะไม่ขายให้ป๊า เพราะป๊าไปกวนประสาทแก พอเวลาพวกเราไปซื้อ จะถือหม้อไปด้วย แกแค่เหลือบตามามองแล้วรับไป พวกเราพี่น้องก็จะนั่งรอ พอถึงคิวอาแป๊ะจะตักให้แบบอิ่มสามคนเลยละ แกจะชอบบ่นๆๆๆๆ ลามไปถึงป๊าบางครั้ง พวกเรายังเล็กเลยไม่โดน รอตามคิวก็ได้กินอร่อยไม่มีใครเทียบได้
อาแป๊ะไม่มีครอบครัว เลยไม่มีใครได้สูตร ตอนทำแป๊ะจะไม่ให้ใครดู เสียดายสูตรอร่อยๆ มีบางร้านบอกเป็นสูตรเจ๊กหวื่อ เคยไปกินแล้ววิณญาญแป๊ะเข้าสิง เลยอยากด่ามาก ทำไม่ได้ ไม่มีจุดขาย อย่ามาเอาชื่อแป๊ะไปหากินอายคนตายบ้าง พูดแล้วคิดถึงพรุ่งนี้ทำกินบ้างดีกว่าถึงจำไม่หมดแต่รู้ว่าอร่อยไม่แพ้กัน ก๋งเคยบอกอิอิ
คุณ Ruamsinthai Depart แม่จะเคยไปกินแค่ครั้งเดียว ก็จำได้มาจนถึงทุกวันนี้ ผม เคยไปครั้งเดียว น้องสาวมือซน คนน้ำส้มเล่น โดนดุว่าอย่าซน เวลาเรียกมาเก็บเงิน แม่ใจดีเลื่อนชามให้ แกจะได้เก็บสะดวก ยังโดนดุว่านั่งเสยๆ 55555555
แม้ใครๆ ก็โดนอิทธิฤทธิ์ของเจ๊กหวื่อ แต่คุณ Chai Tieo ก็ยังมีเรื่องขำๆ มาเล่าให้ฟังเหมือนกัน เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนๆ และผม ประมาน 4 คน เดินเข้าร้าน ช่วงใกล้ปิดเจ้าของร้านพูดไทยสำเนียงจีน "หมกแล้ว" พวกผม กำลัง หันหลังกลับ
เจ้าของร้านพูดว่า "ลื้อจะเอากี่ร้อยชาม"
วันนั้น เลยได้นั่งกิน (แบบอมยิ้มกัน) (ฮา ๆ ๆ ๆ ๆ)
เชื่อว่า เจ๊กหวื่อไม่มีหลักการตลาด หรือมาร์เก็ตติ้งอะไรทั้งนั้น แต่การให้โอกาสลูกค้าทุกคนชิมข้าวต้มของแกอย่างทั่วถึง ก็เป็นสเน่ห์อย่างหนึ่ง คุณ Aey Chartiwong บอกว่า แม่ เอ้เล่าให้ฟัง โต๊ะข้างๆ จะสั่งข้าวต้มเพิ่ม เจ๊กหวือแกเลยบอกกับลูกค้าคนนั้นว่า "เหลือไว้ให้คนอื่นแหลกล่วย" (สำเนียงจีนพูดไทยไม่ชัด) ฮ่าๆ
แม่เล่าว่า ตอนแกป่วย และเสียชีวิต แกบริจาคร่างกายแกให้กับมูลนิธิอะไรสักอย่างนี้แหละ (มูลนิธิสว่างบูชาธรรม : ไกด์อุบล) แกไม่มีญาติพี่น้องหรือลูก และมีร้่านข้าวต้มใกล้ๆ ร้านแกแถวนั้นอะ ตรงสี่แยกก่อนเลี่ยวไปร้านเจ๊กหวือ ได้สูตรจากแกไป แต่ทำยังไงก็ไม่อร่อยเหมือนเจ๊กหวือทำ ปัจจุบันร้านนั้นหยุดขายไปแล้ว เพราะคนทำก็แก่มากแล้ว นี้คือเรื่องราวเท่าที่แม่เล่าให้ฟังจ้า
เจ๊กหวื่อ อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้อง และครอบครัว ขายเสร็จปิดร้าน ก็ไปเที่ยว กินเหล้า บางกระแสก็ว่าเล่นการพนันด้วย สุดท้ายโรคร้ายเล่นงาน จบชีวิตที่มูลนิธิสว่างบูชาธรรมแบบศพไร้ญาติ และสูตรข้าวต้มเจ๊กหวื่อ ก็ไม่มีใครได้สืบทอดเลย คงสูญหายไปกับเจ้าตัว ทิ้งไว้เพียงตำนานร้านข้าวต้มชื่อดังเมืองอุบล
"ข้าวต้มเจ๊กหวื่อ"
เรียบเรียงโดย ไกด์อุบล