การตั้งชื่อ สะพานเสรีประชาธิปไตย แบบอุบลเมืองนักปราชญ์
การเสนอตั้งชื่อถนน สะพาน สถานที่ก่อสร้างหน่วยงานราชการต่างๆ มักจะมีวิวาทะให้เราได้ศึกษาพิจารณากันบ่อยๆ เนื่องจากจะมีชื่อเดิมที่ชาวบ้านคุ้นเคยเรียกขานกันมานาน ชื่อนามมงคล หรือบุคคลสำคัญต่างๆ และชื่อนักการเมืองในยุคนั้นๆ เป็นต้น
เมื่อครั้งจังหวัดอุบลราชธานี มีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำมูลแห่งแรกขึ้นที่บริเวณท่าน้ำตลาดใหญ่ ก็มีปัญหานี้เช่นกัน สะพานที่สร้างขึ้นนี้ ควรจะใช้ชื่อว่าอะไร มีหลายคน หลายท่าน เสนอชื่อต่างๆ กันเข้ามา แต่ด้วยความที่เป็น อุบลฯ เมืองนักปราชญ์ การตั้งชื่อสะพานจึงต้องมีที่มาอันแหลมคม และยอมรับกันได้ทุกฝ่าย ดังที่มาของชื่อ สะพานเสรีประชาธิปไตย
สำหรับสะพานเสรีประชาธิปไตย หรือสะพานข้ามแม่น้ำมูล จากอำเภอเมืองอุบลราชธานีไปฝั่งอำเภอวารินชำราบนี้ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2497 แล้ว นับว่าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำมูลแห่งแรกจังหวัดอุบลราชธานีอีกด้วย หลังจากนั้น เมื่อสะพานหมดอายุการใช้งาน ก็มีการสร้างสะพานขึ้นใหม่ ในปี พ.ศ.2535 แต่ยังคงใช้ชื่อสะพานเสรีประชาธิปไตยเหมือนเดิม เพียงแต่สะพานที่สร้างขึ้นใหม่ มีสะพานคู่ขนานเพิ่มอีกเส้นหนึ่ง เรียกว่า สะพานรัตนโกสินทร์ 200 ปี หากนับจากตัวเมืองอุบล สะพานรัตนโกสินทร์ 200 ปี อยู่ฝั่งซ้ายเป็นขาออกเมือง และสะพานเสรีประชาธิปไตยอยู่ฝั่งขวา เป็นขาเข้าเมือง
คุณพ่อสุวิชช คูณผล ปราชญ์เมืองอุบลฯ ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาของสะพานเสรีประชาธิปไตยกับไกด์อุบลไว้อย่างน่าสนใจ โดยตั้งคำถามไว้ให้ชวนคิดว่า ทำไมสะพานนี้จึงมีชื่อสอดคล้องกับระบอบการปกครอง ไม่เหมือนกับสะพานอื่นๆ ที่ตั้งชื่อตามบุคคลสำคัญหรือบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับสะพานนั้นๆ
สะพานเสรีประชาธิปไตย เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2496 ค่าก่อสร้าง แปดล้านบาทเศษ จากงบประมาณแผ่นดิน โดยกรมโยธาเทศบาล (กรมโยธาธิการในปัจจุบัน) เป็นหน่วยงานออกแบบ และควบคุมการก่อสร้าง สะพานกว้าง 9.00 เมตร ยาว 450.00 เมตร วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้างสะพานแห่งนี้ชื่อ คุณประสิทธิ์ สุทัศน์กุล (ต่อมาดำรงตำแหน่งโยธาเทศบาล จังหวัดอุบลราชธานีคนแรก และเป็นเขยเมืองอุบลฯ แต่งงานกับคุณสุเพ็ญ ทองหล่อ รองนางงามมิตรภาพ พ.ศ. 2495 บุตรสาวพันตำรวจตรี หมื่นชิต ธุรชน บ้านอยู่ที่มุมถนนพนมบรรจบกับถนนพโลชัย) บริษัท กำจรก่อสร้าง เป็นผู้รับเหมาสร้างสะพานนี้
บริษัทผู้ก่อสร้าง ได้จัดทำหุ่นจำลอง (Model) สะพานขนาดเล็กไว้ ณ ที่ทำการชั่วคราวของบริษัท ปลายถนนอุปราชริมฝั่งแม่น้ำมูล รูปร่างลักษณะเหมือนในแบบแปลนทุกประการ แต่ย่อส่วน ชาวอุบลฯ ทั่วไปวิจารณ์เรื่องโครงสร้างของสะพานอย่างกว้างขวาง เนื่องจากโครงสร้างของสะพานข้ามแม่น้ำสายสำคัญในสมัยนั้น ส่วนบนของสะพาน จะต้องเป็นโครงเหล็ก ยึดโยงเชื่อมกันอย่างแข็งแรง ส่วนตอม่อรับพื้นสะพาน ก็ต้องเป็นแท่งคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่โต เต็มความกว้างของสะพาน ตัวอย่างเช่น สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ สะพานพระราม 6 ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่กรุงเทพฯ สะพานนวรัฐ ที่เชียงใหม่ สะพานเดชาติวงศ์ ที่นครสวรรค์ เป็นต้น
แต่โครงสร้างของสะพานข้ามแม่น้ำมูล ที่กำลังก่อสร้างในปี พ.ศ. 2496 - 2497 ไม่มีโครงเหล็กยึดโยงเชื่อมกัน เพื่อความเชื่อมั่นในความแข็งแรง สำหรับตอม่อสะพาน ก็เป็นเพียงเสา 3 ต้น ไม่ใหญ่ไม่โตเท่าไรนัก ตั้งห่างกันเป็นระยะไม่น่าจะรับน้ำหนักตัวสะพานได้ ส่วน "คาน" ของสะพาน แทนที่จะเป็นแท่งคอนกรีตทึบ หนักแน่นมันคง แต่กลับเป็นคอนกรีตโปร่งรูปเหลี่ยม ลักษณะเหมือนลูกกรงระเบียงมากกว่าที่จะเป็นคานรับน้ำหนักของสะพาน ทางเดินเท้าก็ไม่มีเสารับ ยื่นออกจากตัวสะพานลอยๆ กลัวว่าจะหักลงมา สรุปแล้ว สะพานข้ามแม่น้ำมูลแห่งนี้ เป็นลักษณะของสะพานข้ามคลองเล็กๆ มากกว่าจะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำสายสำคัญ ซึ่งสะพานมีความยาว 450.00 เมตร เป็นสะพานยาวที่สุดในประเทศไทยสมัยนั้น ชาวอุบลฯ ต่างวิตก วิจารณ์กันโดยทั่วไป แม้จะได้รับการชี้แจงว่า โครงสร้างของสะพาน เป็นการออกแบบตามหลักวิชาการสมัยใหม่ แต่ก็ไม่คลายกังวล
เมื่อการก่อสร้างสะพานใกล้จะแล้วเสร็จ จะต้องตั้งชื่อสะพานแห่งนี้ ก่อนที่จะมีพิธีเปิดเป็นทางการ จึงให้ชาวอุบลฯ แสดงความคิดเห็นในการตั้งชื่อสะพาน เพื่อความมีส่วนร่วม ปรากฏว่าการตั้งชื่อสะพาน แยกความคิดเห็นเป็น 3 แนวทาง
แนวทางที่ 1 กลุ่ม ส.ส. อุบลฯ สมัยนั้น มีนายยงยุทธ พึ่งพบ เป็นต้น ออกใบปลิวแจ้งว่า ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างสะพานแห่งนี้คือ "พันเอกหลวงบูรกรรมโกวิท" อธิบดีกรมโยธาเทศบาล เป็นผู้สรรหางบประมาณมาก่อสร้าง ด้วยการแปรญัตติจากโครงการต่างๆ ควรตั้งชื่อสะพานนี้ว่า "บูรกรมโกวิท" หรือ "บูรกรมเนรมิต" แต่ชาวบ้านไม่เห็นด้วย เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล มิใช่ส่วนรวม
แนวทางที่ 2 กลุ่มข้าราชการบำนาญ ซึ่งเป็นผู้เฒ่า ผู้แก่ของเมืองอุบลฯ ประกอบด้วย ขุนสาธก ศุภกิจ อดีตสรรพากรจังหวัด ขุนวรเวธวรรณกิจ อดีตศุภมาตราจังหวัด ขุนวรวาทพิสุทธิ์ อดีตศึกษาธิการจังหวัด ขุนอุทารระบิล อดีตปลัดเทศบาลเมืองอุบลฯ ขุนวิเลขกิจโกศล อดีตสมุหบัญชีเทศบาลเมืองอุบลฯ ชุดก่อตั้ง ได้แสดงความคิดเห็นว่า พระมหากษัตริย์ทรงตั้งพระบรมวงศานุวงศ์ให้ทรงกรม โดยนำชื่อจังหวัดต่างๆ มาตั้งพระนามบรรดาศักดิ์หรือราชทินนาม เช่น กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (รัชกาลที่ 7) กรมหลวงสงขลานครินทร์ (พระบรมราชชนกฯ) แต่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ เป็นหัวเมืองเอก มีชื่อว่า "ราชธานี" แห่งเดียวของประเทศ ยังไม่มีการนำชื่อจังหวัดอุบลฯ มาตั้งพระนามาบรรดาศักดิ์ หรือราชทินนาม พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดเลย แต่ชาวอุบลฯ ภาคภูมิใจที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงตั้งพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์แรกว่า "อุบลรัตน์ราชกัญญาฯ" จึงสมควรขอพระราชทานนาม "อุบลรัตน์" มาเป็นชื่อสะพานแห่งนี้ เพื่อเป็นสิริมงคลตลอดไป (แม้ว่าพระนาม "อุบลรัตน์" จะมิได้เป็นชื่อของสะพาน ตามความมุ่งหวังของหลักชัยไม้เท้าชาวอุบลฯ แต่อีก 12 ปีต่อมา (พ.ศ. 2509) ชาวอุบลฯ ทั้งหลายก็ปลาบปลื้มใจ ที่ได้รับพระราชทานนาม "วัดศรีอุบลรัตนาราม" แทนวัดศรีทองเดิม สมควรปรารถนาตามเจตนารมย์ทุกประการ)
แนวทางที่ 3 กลุ่มคณะกรรมการหาทุนสร้างอนุสาวรีย์ "พระวอ-พระตา" และแนวร่วมต่างๆ แสดงความคิดเห็นว่า ควรตั้งชื่อสะพานนี้ว่า "สะพานพระวอ-พระตา" เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้สร้างเมืองอุบลฯ เช่นเดียวกับ สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์" สร้างเพื่อเทอดพระเกียรติสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระผู้สร้างกรุงเทพมหานคร
แนวทางตั้งชื่อสะพานทั้ง 3 แนวทาง ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเต็มที่ แต่ยังหาข้อยุติไม่ได้ กำหนดการจะเปิดสะพานก็ใกล้เข้ามาทุกที จังหวัดจึงรวบรวมความเห็นทั้ง 3 แนวทาง ให้รัฐบาลตัดสินชี้ขาด รัฐบาลสมัยนั้น มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี กำลังต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นการปกครองระบอบเผด็จการ แต่เขาเรียกลัทธิของเขาว่า ประชาธิปไตย อีกแบบหนึ่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงต้องการรณรงค์ให้โลกรู้ว่า การปกครองของไทย เป็นการปกครองแบบ "เสรีประชาธิปไตย" (Free -Democracy) ทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศไทย จะต้องเป็นเสรีประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านระบอบเผด็จการของคอมมูนิสต์ แม้แต่ชื่อสะพานก็เป็น "สะพานเสรีประชาธิปโตย"
สะพานแห่งนี้ ที่มีการวิตกวิจารณ์กันว่า น่าจะไม่มั่นคง แต่ก็ดำรงคงอยู่คู่เมืองอุบลฯ เป็นเวลา 36 ปี จึงหมดอายุการใช้งาน ผู้เขียน (สุวิชช คูณผล) ได้รับเชิญร่วมพิจารณาสร้างสะพานใหม่ แทนสะพานนี้เมื่อปี 2532 ที่กรมโยธาธิการ สะพานชื่อเดิมแต่สร้างใหม่ ณ สถานที่เดิม เปิดใช้ปี 2535 ซึ่งเป็นปีที่อุบลราชธานีอายุครบ 200 ปี คู่ขนานกับ "สะพานรัตนโกสินทร์ 200 ปี" จังหวัดอุบลราชธานี เป็นที่เตือนใจว่า สะพานเสรีประชาธิปโตยเดิม แม้จะหมดสภาพไปตามอายุขัย ก็มีสะพานเสรีประชาธิปไตยใหม่ ขึ้นมาแทนที่ และจะสถิตย์สถาพรตลอดไป เช่นเดียวกับ ระบอบประชาธิปไตย คู่กับประเทศไทย
เรียบเรียงข่าวโดย ไกด์อุบล
ขอบคุณข้อมูลจาก ปราชญ์เมืองอุบล สุวิชช คูณผล