สำหรับเทรดเดอร์หรือนักลงทุนที่รายได้ไม่ได้มาในรูปแบบของสลิปเงินเดือนคงที่ทุกสิ้นเดือน ถึงแม้พอร์ตลงทุนจะมีมูลค่าหลายสิบล้าน แต่การยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านกลับยังเป็นเรื่องยากกว่าพนักงานประจำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ โดยบทความนี้จะมาช่วยเป็นเหมือนคู่มือการขอสินเชื่อบ้านที่นักลงทุนสามารถนำไปปรับใช้ตามได้ เพื่อให้ฝันการมีบ้านกลายเป็นเรื่องจริงโดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อนโตในทีเดียว
หัวใจสำคัญ: การพิสูจน์รายได้ที่ “ไม่ประจำ”
ธนาคารไม่ได้มองหาแค่ "รายได้สูง" แต่มองหา "รายได้ที่สม่ำเสมอและยั่งยืน" นี่คือจุดที่เทรดเดอร์และนักลงทุนต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อเปลี่ยนตัวเลขกำไรที่ผันผวนให้กลายเป็นหลักฐานความมั่นคงทางการเงิน โดยเอกสารที่คุณต้องเตรียมให้พร้อมมีดังนี้:
• รายการเดินบัญชี (Bank Statement) ย้อนหลัง 6-12 เดือน: นี่คือเอกสารชิ้นเอกของคุณ ธนาคารจะวิเคราะห์กระแสเงินสดรับ-จ่ายทั้งหมด ไม่ใช่แค่ยอดเงินคงเหลือปลายเดือน สิ่งที่พวกเขาต้องการเห็นคือ เงินได้ที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ แม้จำนวนเงินแต่ละเดือนจะไม่เท่ากันก็ตาม พยายามเดินบัญชีในบัญชีหลักเพียง 1-2 บัญชีเพื่อความชัดเจน และหลีกเลี่ยงการมีเงินก้อนใหญ่เข้ามาอย่างไม่มีที่มาที่ไปก่อนยื่นกู้ไม่นาน
• เอกสารการเสียภาษี (ภ.ง.ด. 90/91): เอกสารนี้คือเครื่องยืนยันรายได้ที่น่าเชื่อถือที่สุดในสายตาของทุกสถาบันการเงิน ควรยื่นภาษีอย่างถูกต้องและตรงตามจริงต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปีล่าสุด เพราะธนาคารจะนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายที่ปรากฏในเอกสารนี้มาเป็นฐานในการคำนวณความสามารถในการผ่อนชำระ
• หลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ): สำหรับนักลงทุนที่ได้รับเงินปันผลหรือดอกเบี้ย เอกสารนี้เป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงถึงรายได้ที่เกิดขึ้นจริงและผ่านการรับรองทางภาษีแล้ว
• สรุปพอร์ตการลงทุน (Portfolio Summary): แสดงให้ธนาคารเห็นถึงขนาดของพอร์ตและสินทรัพย์ที่คุณถือครอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าคุณมีแหล่งรายได้ที่มั่นคงและมีสินทรัพย์สภาพคล่องสำรอง
สร้างความน่าเชื่อถือมากกว่าแค่ตัวเลขในบัญชี
นอกจากการพิสูจน์รายได้แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้การขอสินเชื่อบ้านของคุณได้อย่างมีนัยสำคัญ
• เครดิตบูโร (Credit Bureau): ประวัติการชำระหนี้ที่ขาวสะอาดคือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้มีรายได้ไม่แน่นอน ควรตรวจสอบข้อมูลเครดิตของตนเองก่อนยื่นกู้และจัดการปิดหนี้ที่ไม่จำเป็น เช่น บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อลด ภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio - DSR)
• เงินดาวน์ (Down Payment): การวางเงินดาวน์สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ (เช่น 20% - 30% ขึ้นไป) เป็นการส่งสัญญาณให้ธนาคารเห็น 2 อย่าง คือ
1) คุณมีวินัยทางการเงินสูง และ
2) ธนาคารมีความเสี่ยงในการปล่อยกู้ลดลง ซึ่งจะทำให้การอนุมัติง่ายขึ้นอย่างมาก
• ความมั่นคงของหลักประกัน: บ้านหรือคอนโดในทำเลที่ดี มีศักยภาพ และราคาประเมินสมเหตุสมผล จะช่วยให้ธนาคารตัดสินใจอนุมัติได้ง่ายขึ้น เพราะหลักประกันมีความเสี่ยงต่ำ
เลือกกลยุทธ์สินเชื่อบ้านที่เหมาะกับสไตล์นักลงทุน
เมื่อมาถึงการเลือกผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้าน คุณสามารถใช้ความเข้าใจด้านการเงินให้เป็นประโยชน์ได้
• อัตราดอกเบี้ย: ในช่วงที่รายได้มีความผันผวน การเลือก อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ในช่วง 3 ปีแรก จะช่วยให้คุณวางแผนการผ่อนชำระได้อย่างแม่นยำและควบคุมกระแสเงินสดได้ดีกว่า เมื่อครบกำหนดแล้วจึงค่อยพิจารณาการ รีไฟแนนซ์ (Refinance) ไปยังธนาคารที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุด
• การโปะหนี้: ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่พอร์ตทำกำไรได้ดี นำเงินส่วนเกินมา ชำระเงินต้นเพิ่มเติม (โปะ) เพื่อลดภาระดอกเบี้ยในระยะยาวและทำให้หนี้หมดเร็วขึ้น
การขอสินเชื่อบ้านในฐานะเทรดเดอร์หรือนักลงทุนคือการเปลี่ยนมุมมองจากการเป็น "ผู้มีรายได้ไม่แน่นอน" ให้กลายเป็นการเป็น "ผู้มีความสามารถในการบริหารการเงินชั้นสูง" เพียงแค่เตรียมเอกสารให้พร้อม วางแผนอย่างรอบคอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบ เส้นทางสู่การเป็นเจ้าของบ้านในฝันก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน